1. ต้นฉบับหรือรูปภาพที่ต้องการพิมพ์ ต้องมีความคมชัด มีความละเอียดสูง เช่น หากคุณต้องการพิมพ์ภาพถ่าย ความละเอียดอย่างน้อยที่ควรใช้คือ 300 dpi เพื่อให้ภาพที่ออกมาไม่ดูหยาบหรือแตก ตัวอย่างเช่น ภาพด้านล่าง ภาพซ้ายจะเป็นภาพที่มีความละเอียดต่ำไม่เหมาะนำมาพิมพ์ ส่วนภาพด้านขวา มีความละเอียดสูงเหมาะสมสำหรับพิมพ์งาน หรือหากเป็นต้นฉบับที่มาจากแหล่งอื่นๆ เช่น เอกสารที่ scan หรือพิมพ์ขึ้นมาใหม่ ก็ต้องให้มีความคมชัดด้วยเช่นกัน
2. การปรับตั้งค่าในโปรแกรมก่อนสั่งพิมพ์งานให้เหมาะสม
ก่อนที่คุณจะสั่งพิมพ์งานทุกครั้ง ควรตั้งค่าในโปรแกรมให้เหมาะสมกับงานที่คุณพิมพ์เสียก่อนไม่ว่าจะเป็น word, excel, photoshop หรือโปรแกรมอื่นๆ ล้วนแล้วแต่มีการตั้งค่าสำหรับการพิมพ์ทั้งสิ้น (มักจะมีชื่อเมนูว่า print setup) ซึ่งจะช่วยให้คุณปรับแต่งสมบัติการพิมพ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับงาน อาทิ
- การตั้งรูปแบบและขนาดกระดาษ ซึ่งหากเราตั้งค่าไม่เหมาะสมก็อาจทำให้พิมพ์แล้วเอียง หรือตกขอบกระดาษได้ หรือพิมพ์ออกมาแล้วผิดแนว
- จำนวนที่ต้องการพิมพ์, พิมพ์ทุกหน้าหรือพิมพ์เฉพาะบ้างหน้า
- การเรียงลำดับหน้า จากหน้าแรกไปหน้าสุดท้ายหรือจากหน้าสุดท้ายมาหน้าแรก
- การปรับขนาดงานพิมพ์ให้พอดีหน้า (Fit) หรือไม่ (การตั้งค่านี้จะทำให้งานไม่ตรงอัตราส่วนเดิม)
- การเลือกชนิดของกระดาษที่ต้องการพิมพ์
3. การเตรียมและปรับตั้งค่าของเครื่องพิมพ์ ก่อนที่จะทำการสั่งพิมพ์ก็ควรจะต้องเตรียมเครื่องพิมพ์และปรับตั้งค่าให้เรียบร้อยเสียก่อน ได้แก่ เปิดและเชื่อมต่อเครื่องพิมพ์เรียบร้อย รวมทั้งมีหมึกพิมพ์ที่เพียงพอ และเครื่องพิมพ์หลายรุ่นในปัจจุบันนี้สามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ได้มากมายเช่น
- คุณภาพของงานพิมพ์ โดยปกติแล้วเครื่องมักจะตั้งค่ามาตรฐานให้เป็นค่าแรก เราควรเลือกให้พิมพ์ระดับคุณภาพที่สูง (หากต้องการพิมพ์งานที่เร็วจะทำให้คุณภาพงานพิมพ์ลดลงมา)
- ชนิดของกระดาษ ควรเลือกให้ถูกต้องตรงกับชนิดกระดาษที่นำมาพิมพ์
- การตั้งความเข้มสี หากต้องการงานพิมพ์ที่มีสีเข้มขึ้นก็ควรปรับตั้งค่าให้สูงขึ้น
- ความคมชัด ควรเลือกให้เหมาะสม หากตั้งความคมชัดสูงเกินไป อาจทำให้รายละเอียดของภาพหายไปบางส่วน แต่หากตั้งค่าความคมชัดต่ำเกินไป ภาพก็จะไม่สวย
- ฟังก์ชันอื่นๆ ตามแต่ละรุ่นของ printer ในปริ้นเตอร์บางรุ่นอาจจะมีฟังก์ชันที่มากขึ้นเสริมเข้ามาเพื่อให้เราใช้งานได้อย่างสะดวกขึ้น เช่น ช่วยปรับลด noise ในภาพ (ซึ่งควรศึกษาจากคู่มือการใช้งาน printer ที่ท่านใช้)
4. เลือกกระดาษให้เหมาะสมกับลักษณะงานพิมพ์ การเลือกกระดาษหรือวัสดุการพิมพ์ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งเช่นกันครับ ที่จะทำให้งานพิมพ์ของเรามีคุณภาพ คมชัด สีสันสวยสดใสหรือไม่ โดยปกติหากเราพิมพ์เอกสารทั่วๆ ไป ก็สามารถใช้กระดาษ inkjet ตามท้องตลาด พิมพ์งานออกมาได้คุณภาพเป็นที่ยอมรับแล้ว (ความหนาประมาณ 70-80 แกรม)
แต่หากเราต้องการพิมพ์งานเฉพาะอย่าง เช่น พิมพ์ภาพถ่ายหรือพิมพ์โปสการ์ด ก็ควรจะใช้กระดาษเฉพาะสำหรับพิมพ์งานนั้นๆ ด้วย ซึ่งมีอยู่มากมายหลายแบบให้เลือก เช่น กระดาษอาร์ตมัน อาร์ตด้าน กระดาษเคลือบ ฯลฯ โดยมีคุณภาพหลายระดับ หลายราคา ซึ่งการที่เราใช้กระดาษให้ถูกต้องกับงานพิมพ์ จะช่วยให้ได้ภาพที่มีสีสันสดใส คมชัด แต่หากนำกระดาษที่ไม่เหมาะสมมาพิมพ์ นอกจากจะพิมพ์ได้ไม่สวยเท่าที่ควรแล้ว ยังอาจเจอปัญหาพิมพ์แล้วเลอะหรือหมึกไม่แห้งอีกด้วย
หากทุกท่านลองทำตามข้อแนะนำข้างต้น ก็จะช่วยให้ได้คุณภาพงานพิมพ์ที่สูงขึ้น และสามารถใช้งานเครื่องพิมพ์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุดด้วยครับ
สินค้า IT ลดสูงสุด 75% >> ที่นี่
ตอบลบ